เป็นบทความสั้นเกี่ยวกับการคิดบวกและคิดลบ และผมมองว่าจริงๆ ผู้อ่านทุกคนที่สนใจในบทความลักษณะนี้น่าจะคุ้นเคยและมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ในการคิดบวกและคิดลบนั้น ขึ้นอยู่ที่เราตีความ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือในทางพระพุทธศาสนาเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กรรม หรือ มโนกรรม มโนกรรมทางด้านไม่ดีจะเกิดขึ้นกับคนที่คิดลบและจะแสดงให้เราเห็นผ่านคำพูดและการกระทำ เพราะบุคคลนั้นมีลักษณะการ ตีความ ไปในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามแต่กรรมที่เคยทำมา
เมื่อ ตีความ ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ความคิดหรือสมองของเขาจะสร้างกลไกอัตโนมัติในการเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน จนเกิดเป็นเรื่องราวรูปแบบนึงที่ไม่ถูกต้อง และเชื่อมโยงกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในทางกลับกันถ้าการ ตีความ เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ความคิดหรือสมองจะเชื่อมโยงกลไกอัตโนมัติและเชื่อมโยงเรี่องราวต่างๆ ไปในทางที่ถูกต้องเช่นกันและจุดนี้ขึ้นอยู่ที่ มโนกรรม ของแต่ละบุคคล และเป็นความลับสวรรค์ที่ผมไม่สามารถศึกษาหรือเรียนรู้ได้ในจุดนั้น
แต่ในการเดินทางเราจะเจอคนที่คิดบวกและคิดลบ ให้สังเกตุง่ายๆ ว่าถ้าเขาเล่าเรื่องราวไปในทางที่ดี ตัวเรามีปฏิกิริยาอย่างไร เราตอบสนองเขาหรือไม่
ในทางกลับกัน ถ้าเขาเล่าเรื่องราวไปในทางที่ไม่ดี ตัวเรามีปฏิกิริยาอย่างไร เราตอบสนองเขาหรือไม่
ถ้าเรามี มโนกรรม ไปในทางที่ดี เราจะรับรู้และรู้สึกได้ทันทีว่าเราควรจะคุยกับใครหรือเรื่องไหนมากกว่ากัน แต่ถ้าเรายังมี มโนกรรมที่ไม่ดี หรือ ตีความไปในทางลบ ผมแนะนำให้ควรหยุดสร้างเรื่องราวเพื่อเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้น โดยการไม่เสริมเนื้อเรื่องระหว่างสนทนาหรือพยายามเปลี่ยนเรื่องสนทนา
การแพร่พันธุ์การคิดบวกและการคิดลบเป็นไปโดยธรรมชาติและไม่สามารถแนะนำกันได้ เราไม่สามารถรับรู้ถึงพลังงานบวกได้ ถ้าเรายังมีพลังลบ ในทางกลับกันเราจะไม่สามารถรับรู้ถึงพลังงานลบได้ ถ้าเรายังมีพลังบวก แต่เราสามารถเก็บพลังงานด้านบวกเอาไว้ได้ด้วย ความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ และถ้าอยากมีความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ เราต้อง ออกเดินทาง ครับ
ในคำสอนของท่านพุทธทาสบทหนึ่งเคยกล่าวว่า “ให้อยู่เหนือบวกเหนือลบ อยู่อย่างปกติ” ซึ่งเมื่อ 18 ปีก่อนผมไม่เข้าใจในวลีคำนี้ เพราะจริงๆ แล้วคำๆ นี้แฝงไปด้วยคุณค่ามากมาย ถ้าฟังอย่างผิวเผินเราจะตีความได้ว่า ให้อยู่ในทางสายกลาง ไม่ต้องสุขและไม่ต้องทุกข์ ใช้ชีวิตด้วยความสงบ แต่ถ้าฟังน้ำเสียงของท่านจริงๆ ท่านจะใช้เสียงที่เข้มแข็งและแฝงด้วยพลัง แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ และผมพึ่งจะตีความออกว่า ถ้าเราทำจิตใจให้เป็นกลาง เราจะเห็นสิ่งที่เป็นบวกและสิ่งที่เป็นลบ แต่ในระหว่างนั้น จิตใจเราต้องเข้มแข็งอยู่เหนือบวกเหนือลบ ก่อน
จริงๆ ผมเคยทดลองมาแล้วเลยนำมาเขียนเพื่อต่อยอดแนวคิดท่านพุทธทาสครับ ในบางสถานที่ที่มีคนคิดลบรวมตัวกัน แค่เราก้าวเข้าไปในสถานที่นั้น ใช้ประสาทสัมผัสเราทั้ง 5 ด้วยจิตใจที่เข้มแข็งประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็จะพอสัมผัสบรรยากาศและสิ่งรอบตัวได้ เราจะรู้สึกว่าอึดอัด เช่น ทำไมต้องว่าคนโน้น ต้องพูดถึงคนนี้ โทษโน่น โทษนี่ เป็นต้น แต่พวกเขาก็คุยกันได้อย่างสนุกสนานเหมือนกับว่า แค่เราก้าวเท้าออกจากห้อง ก็จะมีคนคิดถึงและพูดถึงเราอย่างแน่นอน และถ้าเราขัดขืนเราต้องโดนคนเหล่านี้เล่นงานแน่นอนเพราะฉะนั้น ตามน้ำและลืมซะ คือทางออกจากคนที่คิดลบ
ผมสบายใจเมื่ออยู่กับคนคิดบวก เพราะพวกเขาแสนดีและมีแนวคิดที่สร้างสรรค์มากกว่าการทำลาย แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายเกิดขึ้น พวกเขาจะคิดบวกเพื่อกลบเกลื่อนสภาพที่เป็นจริง ทำให้ผมเห็นว่าจริงๆ แล้วพวกเขาอ่อนไหว และต้องการคนที่เข้าใจและคอยดูแลพวกเขา แต่ถ้าวันหนึ่งโชคชะตาเล่นตลกกับพวกเขา พวกเขาจะรับมือไม่ทันกับสภาพจิตใจเช่นนี้
ในการเดินทางเราจะเจอทั้งคนที่คิดบวกและคนที่คิดลบ ถ้าใจเราเข็มแข็งเราจะสามารถนำสองคนนี้มาใช้ประโยชน์เช่น คนที่คิดลบ ให้เขาคอยเตือนหรือระมัดระวังภัยให้เราเพราะเรื่องพวกนี้เขาคิดอยู่ทุกวัน ในทางกลับกันเราต้องเป็นที่พึ่งให้คนที่คิดบวก และรับฟังแนวคิดในมุมที่เป็นบวกเพื่อมาเสริมแนวคิดเราให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องครับ ขอบคุณครับ