ในภาคที่แล้วผมเล่าถึงความแข็งแกร่งตามสัญชาติญาณมนุษย์เมื่อพบเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่น ยางแตกแถวสนามบิน ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดีปะปนกัน แต่ก่อนจะเริ่มเดินทาง ผมมีเรื่องเล่าที่เสริมให้เล็กน้อย เป็นเรื่องสั้น ๆ เพื่อปรับทัศนคติก่อนการเดินทาง
เรื่องนี้พ่อผมเล่าให้ฟังประมาณ 30 ปีก่อน ซึ่งผมจำได้จนถึงทุกวันนี้และใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันสิ่งเลวร้ายต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งพ่อผมเขาบอกเสมอว่า เขาไม่มีสมบัติอะไรให้ มีแต่ความรู้ที่จะสอนให้ปีละ 1 ครั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ผมจะสามารถจดจำเรื่องเล่าเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
พ่อมีเพื่อนเป็นชาวจีนซึ่งสามารถทำนายดวงและดูฮวยจุ้ยได้อย่างแม่นยำ ซึ่งผมก็รู้จักและเรียกแกว่า “อาแป๊ะซินแส” และผมก็ไปเพื่อเล่นกับลูกหลานเขาเป็นประจำ เนื่องจากช่วงนั้นพ่อผมมีเพื่อนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นผู้จัดการอยู่บริษัทใหญ่แหล่งหนึ่ง และในช่วงนั้นก็มีอาเจ๊กคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนพ่อที่มีความต้องการให้ซินแสดูฮวยจุ้ยให้จึงติดต่อผ่านทางพ่อผม
จากนั้นพ่อผมก็โหลๆ หาอาแป๊ะซินแสเพื่อนัดวันและเวลาเพื่อเดินทางไปดูฮวยจุ้ยที่บ้านอาเจ็ก เมื่อถึงวันนัดอาเจ็กกับพ่อผมก็ขับรถไปรับซินแสย่านอุดมสุข
ภายในรถอาเจ็กเป็นคนขับ พ่อผมนั่งอยู่ข้าง ๆ และซินแสนั่งอยู่เบาะที่นั่งหลัง ในระหว่างที่ขับรถ อาเจ็กขับรถให้ทางคนเดินข้ามถนน ให้ทางรถคันอื่นก่อนเสมอจนเวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า เนื่องจากพ่อผมเป็นคนคุยเก่งจึงชวนซินแสคุยตลอดทางและไม่ได้สังเกตุเห็นสิ่งที่อาเจ็กทำ แต่ซินแสอยู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ไปๆ กลับๆ อั้วดูเสร็จละ”
อาเจ็กและพ่อผมแปลกใจมาก จึงแย้งไปว่า “ลื้อจะรีบไปไหนว้า ยังไม่ถึงบ้านใหม่เลย” ซินแสก็พูดขึ้นอีกว่า “อั้วดูเสร็จละ กลับๆ” จากนั้นก็หันไปทางอาเจ็กและพูดกับอาเจ็กว่า “คนอย่างลื้ออยู่ที่ไหนก็ได้”
เรายังคงเดินทางเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือ การใช้ชีวิต และแน่นอนว่าเราต้องพบเจอปัญหาและอุปสรรคเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นในเรื่องเล่าของผมหลายต่อหลายเรื่อง ผมถึงได้เจอกับมิตรภาพอันดีเสมอมา มันเป็นเรื่องราวที่พ่อผมสอนผมเมื่อ 30 ปีก่อนผ่านเรื่องเล่าและผมได้นำมาใช้ในทุกๆ การเดินทาง