เมื่อถึงจุดสิ้นสุด

ในนวนิยายสามก๊กมีบทเรียนต่างๆ ของชีวิตอยู่มากมายให้เราได้ศึกษาและเข้าใจในชีวิตของมนุษย์มุมมองที่หลากหลาย ซึ่งแฝงไว้ด้วยความรัก โลภ โกรธ หลงและกลยุทธต่างๆ มากมาย ถ้าใครสามารถอ่านหรือดูได้จนจบนั่นแปลว่าคนเหล่านั้นได้เรียนรู้ชีวิตใน 3 ยุคของนิยายเรื่องนี้ แต่จริงๆ ชีวิตของวีรบุรุษทุกคนจะจบลงที่ความตาย เมื่อตายแล้วชีวิตก็จบไม่ว่าลูกหลานจะสร้างตำนานต่างๆ เพิ่มมากมายเราไม่สามารถรับรู้ในสิ่งเหล่านั้น เกิด แก่ เจ็บ ตายคือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ในนวนิยายเรื่องนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนผ่านพ้นไปเหมือนสายน้ำ ถ้าเราแบกอะไรไว้เราก็จะได้รับสิ่งๆ นั้นเป็นผลตอบแทนหรือถ้าดวงเราถึงที่สิ้นสุด ไม่ว่าเราจะทำอย่างไรเราก็ไม่สามารถรอดพ้นไปได้ ดังนั้นเราควรคิดและทำในสิ่งที่ถูกต้องก่อนที่ชีวิตเราจะดับสูญ การคิดดีทำดีกับผู้อื่น อาจจะทำให้ดูโง่เขลา แต่เชื่อไหมครับว่าผมเคยดักคอเพื่อนเพื่อความสะใจเล็กน้อยสมัยเรียน เหมือนว่าเรารู้ทันมันหมดจนเพื่อนคนนี้เลิกคุยหรือเลิกคบกับผมไปเลย แต่ถ้าเราฟังแล้วมองผ่านไปหรือคิดว่าเป็นกรรมของเขา ยอมให้เขาคิดว่าเราโง่ก็ได้ เราจะสบายใจและไม่ผิดต่อความลับสวรรค์…

ขงเบ้งแพ้ใคร (ตอนที่ 2)

ว่ากันต่อถึงบุคคลที่ขงเบ้งพ่ายแพ้อย่างราบคาบคนที่สอง แต่ก่อนที่ผมจะเล่าถึงบุคคลผู้นี้ผมอยากจะให้เห็นแสนยานุภาพของขงเบ้งซึ่งเป็นบุคคลที่สมัยผมยังวัยรุ่นพยายามเลียนแบบทั้งแนวคิดและอุปนิสัย https://youtu.be/VL87Q0e8gfc เป็นอีกตอนที่ผมชื่นชอบอย่างมาก ตอนที่ขงเบ้งใช้กลอุบายในการหลอกล่อสุมาอี้ให้ออกมารบเพราะทางขงเบ้งเดินทางมาไกลทำให้เสบียงไม่พอ หลอก 1 คือ หลอกว่าตัวเองเตรียมตัวจะทำศึกยืดเยื้อ หลอก 2 คือ หลอกให้สุมาอี้คิดว่าว่าตัวเองจะทำศึกยืดเยื้อ หลอก 3 คือ หลอกว่าเสบียงอยู่เซียมก๊ก ไม่ใช่กิสาน หลอก 4 คือ แกล้งให้ทหารที่เซียมก๊ก ยกออกไปช่วยกิสาน เพราะรู้ว่าสุมาอี้จะหลอกมาตีกิสาน แต่จริงๆ จะตลบหลังไปตีเซียมก๊ก แผนการหลอกครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่มีความสามารถขนาดขงเบ้งเลยแม้แต่น้อย การหลอกล่อคู่ต่อสู้ที่รู้เท่าทันกันนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งแต่ขงเบ้งสามารถทำได้ ในทางกลับกันผมจะมีบุคลิกลักษณะเหมือนกับคนที่ขงเบ้งพ่ายแพ้มากกว่า บุคคลนี้เป็นบุคคลที่สร้างความลำบากให้กับขงเบ้งตั้งแต่เริ่มก้าวเท้าเข้ามาทำศึก…

ขงเบ้งแพ้ใคร

ก่อนอื่นขอเกริ่นนำกันเล็กน้อยครับว่า นิยายสามก๊ก เป็นสิ่งที่ผมศึกษาสมัยเป็นวัยรุ่นเพื่อความเพลิดเพลินและอาจจะมีบางคำที่มีความรุนแรงบ้างเล็กน้อย แต่ทั้งหมดก็เพื่อความเพลิดเพลิน ความสนุก และรับรู้รสชาติของชีวิตจริงๆ ผมจะยกคลิปวีดีโอหนึ่งมาให้ดูเป็นศึกสงครามลิ้นระหว่าง ขงเบ้งกับอองลอง ครับ https://youtu.be/l67Lf06PMPo เป็นการปะทะคารมระหว่างคนที่มีความรู้กับคนที่มีประสบการณ์ สิ่งที่อองลองพูดถูกก็คือ ความฉลาดของขงเบ้งทำให้ชอบทำในสิ่งที่ขัดกับธรรมชาติ แต่ขงเบ้งก็มองออกว่าอองลองพยายามจะใช้ลิ้นตัวเองมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของขงเบ้ง เพื่อข่มขวัญทหาร และโต้กลับไปด้วยคำพูดตรงๆ ที่ออกมาจากประสบการณ์จริงๆ ทำให้คนท้องไก่ไส้หนูอย่างอองลองที่ใช้เป็นเพียงแค่คำพูดไม่สามารถต้านทานได้ครับ ในนิยายสามก๊กไม่ได้มีเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าขงเบ้งแพ้ใคร แต่ขงเบ้งเป็นเทวดาที่สามารถวางแผนต่างๆ ได้อย่างแม่นยำโดยการคาดเดาอุปนิสัยของคู่ต่อสู้ออกอย่างชัดเจน และสามารถกำหนดให้สถานะการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้จริง ตรงตามที่เขาต้องการ เพราะเขารู้ฟ้า รู้ดิน รู้คน แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งซึ่งสามารถต่อกรกับขงเบ้งได้อย่างสูสีและรู้ทันขงเบ้งอยู่พอสมควรในแผนการต่างๆ แต่ถ้าเราอ่านดีในศึกตีฮุยก๊ก เราจะเห็นว่าสุมาอี้พลาดท่าเสียทีขงเบ้งอยู่เป็นประจำเพราะ…

บทความพิเศษ คำสอนขงเบ้ง

ก่อนหน้านี้ผมพยายามเขียนถึงความทุกข์ความโหดร้ายทั้งหมดของชีวิตเพื่อเป็นบทความที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ ความเศร้าให้กับผู้อ่าน แต่ช่วงนี้ชีวิตผมไม่ค่อยพบกับความทุกข์และผมอาจจะถ่ายทอดเรื่องราวต่างออกมาได้ไม่ดีพอ ดังนั้นเราพักเรื่องนี้กันก่อนหันกลับมาแนวคิดที่สนุกๆ กันบ้างครับ ในบทความนี้ค่อนข้างเป็นตัวผมจริงๆ เพราะผมชอบศึกษาอ่านหนังสือและโครงกลอนต่างๆ มากมายในสมัยก่อน และนำแนวคิดมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองและฝึกใช้อยู่เป็นประจำ แต่ยังมีอีกเรื่องที่ผมเสียดายเป็นอย่างมากนั้นก็คือ ผมอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมากพอสมควรแต่ไม่สามารถจะเขียนออกมาแบบสนุกๆ หรือถ่ายทอดได้อย่างสมบูรณ์ ผมเคยลองเขียนหรือพยายามแปลให้สนุกๆ แต่ผมก็ไม่ใช่คนชอบอ่านแนวนิยายมากขนาดนั้นและคำศัพท์ก็ยังใช้ไม่ค่อยถูก ไม่รู้ว่าคำไหนที่จะบรรยายแล้วได้อารมณ์ เอาเป็นว่าผมยังคงต้องพัฒนาตัวเองต่อไปในเรื่องนี้ เพราะจริงๆ ผมก็อยากตอบแทนความรู้ที่ผมได้จากคนต่างประเทศบ้าง เรื่องมีอยู่ว่า ผมได้เข้าไปดูแนวคิดใน Youtube เกี่ยวกับสามก๊กที่มีการสร้าง Content ต่างๆ มากมาย ซึ่งผมเองก็เคยชอบแนวนิยายเรื่องนี้และเคยสะสมไว้เป็นวีดีโอและหนังสือเอาไว้ดูประมาณปี ค.ศ 1996 แต่ปัจจุบันผมไม่มีหนังสือและแนวคิดเรื่องนี้แล้วแต่เก็บยังเก็บหนังสือบางเล่มที่เขียนถึงเรื่องนี้เอาไว้ และผมก็อยากที่บอกเล่าในมุมมองข้อคิดที่ผมศึกษาและเคยใช้พัฒนาตนเองในสมัยวัยรุ่นให้เป็นอีกแนวทางให้ไว้เพื่อศึกษาครับ…

ความสุขก่อนการเดินทาง ตอน คิดบวก คิดลบ

เป็นบทความสั้นเกี่ยวกับการคิดบวกและคิดลบ และผมมองว่าจริงๆ ผู้อ่านทุกคนที่สนใจในบทความลักษณะนี้น่าจะคุ้นเคยและมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี ในการคิดบวกและคิดลบนั้น ขึ้นอยู่ที่เราตีความ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือในทางพระพุทธศาสนาเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กรรม หรือ มโนกรรม มโนกรรมทางด้านไม่ดีจะเกิดขึ้นกับคนที่คิดลบและจะแสดงให้เราเห็นผ่านคำพูดและการกระทำ เพราะบุคคลนั้นมีลักษณะการ ตีความ ไปในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามแต่กรรมที่เคยทำมา เมื่อ ตีความ ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ความคิดหรือสมองของเขาจะสร้างกลไกอัตโนมัติในการเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน จนเกิดเป็นเรื่องราวรูปแบบนึงที่ไม่ถูกต้อง และเชื่อมโยงกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในทางกลับกันถ้าการ ตีความ เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ความคิดหรือสมองจะเชื่อมโยงกลไกอัตโนมัติและเชื่อมโยงเรี่องราวต่างๆ ไปในทางที่ถูกต้องเช่นกันและจุดนี้ขึ้นอยู่ที่ มโนกรรม ของแต่ละบุคคล และเป็นความลับสวรรค์ที่ผมไม่สามารถศึกษาหรือเรียนรู้ได้ในจุดนั้น…

ความสุขก่อนการเดินทาง ตอน รู้และยอมรับ

ถ้าเราเคยอ่านหนังสือด้านจิตวิทยา เราจะสังเกตได้ว่าเรากำลังหลงอยู่ในโลกที่สวยงามและปราศจากอันตรายใดๆ ในชีวิต แต่เมื่ออ่านหนังสือเล่มนั้นจบและเราสามารถดึงคำแนะนำจากหนังสือเล่มนั้นๆ ออกมาใช้ในการดำรงชีวิตได้ไม่เกิน 2 อาทิตย์เราก็จะลืมคำแนะนำเหล่านั้นและกับมาใช้ชีวิตตามโชคชะตาอีกครั้ง และเราก็เจอหนังสือจิตวิทยาอีกหลายๆ เล่มและทำซ้ำๆ รอยเดิมคือ นำแนวคิดมาใช้ได้ไม่เกิน 2 อาทิตย์แล้วเราก็ลืมคำแนะนำเหล่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะลืมเพราะว่า เรายังไม่ได้ปลดล๊อคประตูแหล่งโชคชะตาของตัวเอง เพียงแต่เราคิดไปเองตามฝันที่ในหนังสือได้มอบให้ เราใช้ชีวิตตามความฝันที่หนังสือหรือคนเขียนแต่ละคนมอบให้ ไม่ใช่ความจริงที่เป็นโชคชะตาของตัวเอง แต่ถ้าเราปลดล๊อคโชคชะตาของตัวเองและเอาคำแนะนำในหนังสือหลายต่อหลายเล่มมาปรับใช้ เราจะมีเครื่องมือที่ดีในการใช้ชีวิตและนำไปสู่เป้าหมาย การใช้ชีวิตที่มีความสุข ในอนาคต และการปลดล๊อคโชคชะตาของตัวเองนั้นเราสามารถใช้ Key ที่สำคัญที่สุดคือ การตระหนักรู้และยอมรับ ในตัวของเรา สภาพการณ์ของเราในปัจจุบัน และแยกให้ออกระหว่างสถานการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น…

ความสุขก่อนการเดินทาง ตอน อยู่ที่ไหนก็ได้

ในภาคที่แล้วผมเล่าถึงความแข็งแกร่งตามสัญชาติญาณมนุษย์เมื่อพบเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่น ยางแตกแถวสนามบิน ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดีปะปนกัน แต่ก่อนจะเริ่มเดินทาง ผมมีเรื่องเล่าที่เสริมให้เล็กน้อย เป็นเรื่องสั้น ๆ เพื่อปรับทัศนคติก่อนการเดินทาง เรื่องนี้พ่อผมเล่าให้ฟังประมาณ​ 30 ปีก่อน ซึ่งผมจำได้จนถึงทุกวันนี้และใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันสิ่งเลวร้ายต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งพ่อผมเขาบอกเสมอว่า เขาไม่มีสมบัติอะไรให้ มีแต่ความรู้ที่จะสอนให้ปีละ 1 ครั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ผมจะสามารถจดจำเรื่องเล่าเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี พ่อมีเพื่อนเป็นชาวจีนซึ่งสามารถทำนายดวงและดูฮวยจุ้ยได้อย่างแม่นยำ ซึ่งผมก็รู้จักและเรียกแกว่า "อาแป๊ะซินแส" และผมก็ไปเพื่อเล่นกับลูกหลานเขาเป็นประจำ เนื่องจากช่วงนั้นพ่อผมมีเพื่อนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นผู้จัดการอยู่บริษัทใหญ่แหล่งหนึ่ง และในช่วงนั้นก็มีอาเจ๊กคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนพ่อที่มีความต้องการให้ซินแสดูฮวยจุ้ยให้จึงติดต่อผ่านทางพ่อผม จากนั้นพ่อผมก็โหลๆ หาอาแป๊ะซินแสเพื่อนัดวันและเวลาเพื่อเดินทางไปดูฮวยจุ้ยที่บ้านอาเจ็ก เมื่อถึงวันนัดอาเจ็กกับพ่อผมก็ขับรถไปรับซินแสย่านอุดมสุข ภายในรถอาเจ็กเป็นคนขับ พ่อผมนั่งอยู่ข้าง…

ความสุขก่อนการเดินทาง

วิธีการสร้างชีวิตที่มีความสุข มีอยู่ 2 วิธีคือ เราใช้ชีวิตที่ระมัดระวังสุดตัว นั่งเก็บตัวทำงานอยู่ในห้องมืด ๆ จากนั้นก็ดูหนังดูทีวีอยู่ที่บ้านและพยายามไม่ออกไปพบไปเจอกับใครเพื่อป้องกันไม่ได้ตัวเองถูกทำร้ายจิตใจ ป้องกันตัวเองจากคนไม่ดีในทุกๆ รู้แบบ พูดคุยเฉพาะคนที่ไม่ทำร้ายจิตใจเรา ไม่ขัดใจเราเลย เวลาว่างก็ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมวเพื่อมาเป็นเพื่อนเล่นแก้เหงาแทนการพบปะผู้คน เราก็จะมีความสุขในรูปแบบหนึ่งซึ่งจริงๆ ก็พอเพียงกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันและผมก็ใช้ชีวิตในรูปแบบนี้ในวัยชราหรือเวลาที่ผมต้องการความสงบ ซึ่งเป็นไปตามหลักพระพุทธศาสนา แต่ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตในรูปแบบที่สองครับ คือ ผมใช้สติและสมาธิในการเดินทางไปในที่ต่างๆ และความสุขของผมอยู่ในระหว่างทางไม่ใช่เฉพาะปลายทาง ถนนทุกสาย ทุกๆ ไฟแดง สิ่งแวดล้อมข้างทาง อุปสรรคต่างๆ นาๆ เช่น ยางแตก น้ำมันใกล้หมด…

ปรับกรอบแนวคิด

ในบทความก่อนจะเห็นได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือ "การใช้ชีวิตที่มีความสุข" แต่การใช้ชีวิตที่มีความสุขอย่างเต็มที่ก็มีอุปสรรคอยู่พอสมควรเพราะธรรมชาติของชีวิต มีขึ้นมีลง มีดีมีร้าย มีสุขและมีทุกข์ และถ้าเราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หรือมีกรอบแนวคิดที่ไม่ถูกต้องจะทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตที่มีความสุขอย่างเต็มที่ได้อย่างแน่นอน กรอบแนวคิดที่ไม่ถูกต้องถูกปลูกฝังในตัวเราโดยที่เราไม่รู้ตัวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เราถูกปลูกฝังมาให้เรียนรู้ฝึกฝนหาหนทางที่จะทำงานและหาเงินให้ได้มากๆ เราต้องฝึกตนเอง ฝึกจำวิชาความรู้ ฝึกฝีมือหรืออาชีพเฉพาะทางเพื่อเพิ่มทักษะของเรา แต่ในทางกลับกันเรากำลังปลูกฝัง กรอบแนวคิดกดดันตนเอง กรอบแนวคิดนี้จะมีความคิดที่ว่า เราต้องทำได้ดีกว่านี้สิ! เราต้องเก่งกว่านี้! ทำไมแค่นี้เรายังทำไม่ได้เลย! เราเคยทำมาแล้วทำไมครั้งนี้เราพลาด! เป็นต้น กรอบแนวคิดนี้จะทำให้เราหลงอยู่ในการพัฒนาที่ไม่ได้พัฒนา เราจะเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ควรจะเรียนรู้และทำให้เราหลงทาง ยิ่งถ้าเราคิดที่จะเปรียบเทียบกับผู้อื่นเช่น ทำไมคนนี้เรียนเก่งกว่าเราทั้งที่ตอน ป 4 เรียนสู้เราไม่ได้เลย! ทำไมคนนี้ได้งานดีกว่าเราทั้งที่เกรดเรามากกว่า! เราเคยเป็นที่หนึ่ง! เป็นต้น…

งานเสริมใน Tiktok

เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้รับสายจากเบอร์โทร 081-837-8141 สังเกตุจากการพูดและน้ำเสียงผมพบมีความผิดปกติ การพูดไม่ค่อยชัดเหมือนไม่ใช่คนไทย 100% ผมรู้ทันทีว่าเป็นมิจฉาชีพ แต่ด้วยความที่ผมอยากรู้อยากเห็นและอยากทราบขั้นตอนการทำงานของกลุ่มคนพวกนี้ เพราะผมมองว่าเป็นการหากินบนความอับจนหนทางของคนที่กำลังเดือดร้อนและจะนำพามาซึ่งความทุกข์ขั้นสูงสุด ซึ่งผิดกับหลักการของผมที่ผมกำลังพยายามช่วยเหลือคนกลุ่มนี้จากความโหดร้ายหรือมรสุมของชีวิต และผมเชื่อว่าความโชคร้ายในวัยเด็กของผมจะเป็นประโยชน์ที่ดีกับสังคมในอนาคตอย่างแน่นอน เขาบอกว่า "มีงานเสริมใน Tictok มานำเสนอค่ะ เป็นงานกด Like กดติดตามใน Tiktok ใช้เวลาไม่นานค่ะคุณพี่ ก่อนอื่นคุณพี่ต้อง Add Line ไปหา แอดมิน มาเบลก่อนนะคะ... " จากน้ำเสียงของเขา ผมจับสังเกตุได้ว่าเขากำลังแข่งขันกับผมว่าจะสามารถหลอกผมได้ไหมด้วยการแสดงความอ่อนโยน การให้เกียติและพร้อมที่จะช่วยเหลือผมในทุกๆ…

error: Content is protected !!